วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

หนูรักแม่

แม่แม้จะเป็นแค่คำสั้นๆพยางค์เดี่ยว  แต่ความหมายมันยิ่งใหญ่  คำว่าแม่มีทั้งความรัก  ความห่วงใย  ความเอาใจใส่  ความอดทน  ซึ่งรวมในคำว่าแม่
                ใครคือคนที่อุ้มท้องเรามา ๙ เดือน  ใครคนนั้นคือ แม่  แม่ทำให้ทำเราเกิดมา  แต่พอเราเกิดมาแม่ก็ยังป้อนข้าว  ป้อนน้ำ  เลี้ยงดูเรายุงไม่ให้กัดมดไม่ให้ตอม  ขนาดเรางอแงตอนกลางคืนแม่ก็ยังอดทนลุกขึ้นมากล่อมป้อนนม  และถ้าเรายังงอแงแม่ก็ยังต้องอดทนเพื่อลูก  เมื่อเราโตขึ้นแม่ก็สอนให้เดิน  สอนให้เราพูด  สอนให้เขียน  แล้วยังส่งเสียเราเรียนหนังสือ  รีดเสื้อ  ซักผ้า  และหาเงินให้เราอีก และถ้าลูกอยากได้อะไร  แม่ก็ทำให้เราอย่างดีที่สุด ที่คิดว่าแม่คนนี้จะทำเพื่อลูกได้  เมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยแม่คนนี้ที่คอยหายาให้เรากิน  คอยหาหมอส่งโรงพยาบาลดูแลเราไม่ห่างจากเรา  แม้ยามหลับหรือยามตื่น  ห่มผ้าห่มให้เรา  แต่บางคนก็ไม่คิดถึงความเหนื่อยยากของแม่ของแม่ที่ทำเพื่อลูกบ้างเลย
                แม่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งเป็นคนที่คอยที่ให้เป็นกำลังใจเมื่อเราท้อใจเจออุปสรรคก็คอยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆให้กับเรา  แต่การให้ของแม่ที่ดีที่สุดคือ  การที่แม่ให้ความรัก  ความห่วงใย  ความอดทนในการดูแล  การเอาใจใส่  การเข้าใจในตัวเรา
                แต่พอเราทำผิดแม่ก็คอยตักเตือน  สั่งสอนเตือนสติไม่ให้เราไปในทางไม่ดี  ไม่สมควร  และแม่คอยแนะนำชี้ทางสว่างให้กับเราเสมอ  แต่การที่เราว่าแม่เป็นการที่ไม่ดีอย่างยิ่ง  เพราะแม่ทำงานหนักเพื่อเรามาตลอด  เราควรที่จะฟังคำพูด  คำตักเตือนของแม่  และนำไปคิดเราทำอย่างนั้นจริงไหม  ถ้ามันจริงอย่างที่แม่พูดเราก็ควรที่จะฟังแม่คำตักเตือนของแม่  ละขอโทษแม่ในสิ่งที่เราทำผิด  และแม่ก็จะให้อภัยให้เราได้เสมอ
                แต่ถ้ามันไม่จริงเราควรที่จะพูดกับแม่ดีๆไม่ควรที่จะว่าแม่  เพราะถ้าเราพูดดีๆกับแม่ แม่ก็จะรับฟังและเข้าใจในสิ่งเราทำ  การตักเตือนของแม่บางคนคิดว่าแม่ไม่รักเป็นคำว่า  แต่ถ้าเราคิดสักนิดว่าความเป็นจริงการตักเตือนของแม่เป็นเพราะแม่ห่วงเรา เป็นคำสั่งสอน คำตักเตือนให้เราประพฤติปฏิบัติที่ดีไม่ให้เราหลงผิดไปในทางที่ไม่ดี
                การได้เกิดเป็นลูกของแม่เป็นสิ่งที่ประทับใจที่สุด  และการที่แม่ได้ให้ความรัก  ความอบอุ่นให้เรา  ห่วงใย  ดูแลเราตั้งแต่เล็กจนโตการที่แม่คอยทำทุกอย่างให้เรามีความสุขถึงเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ  แต่มันสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ได้เกิดเป็นลูกแม่  อาจจะไม่มีคุณค่าสำหรับคนอื่นแต่สำหรับหนูคำว่าแม่ยิ่ง
ใหญ่เสมอ  
มีความสุขมากที่ได้มีแม่อยู่ข้างๆ  การที่เราได้มีแม่คอยทำทุกอย่าง  เราเคยถามตัวเองไหมว่าเราเคยทำดีให้แม่ชื้นบ้างแล้วหรือยัง  ความสุขของลูกคือความสุขของแม่  เมื่อแม่กลับบ้านลองถามแม่ว่าเหนื่อยไหม  กินน้ำมาหรือยัง  ประโยคแค่นี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว  วันเวลาที่ผ่านไปเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นเราควรที่จะทำวันนี้เพื่อแม่ให้ดีที่สุด  บอกรักแม่ทุกๆวัน  ไม่ใช่เฉพาะในวันแม่เท่านั้น  เราควรที่จะตอบแทนบุญคุณของแม่เพราะตลอดชีวิต  เราก็ยังตอบแทนบุญคุณที่แม่มีให้เราเกิดมา  ทำให้เรามีความสุข ตลอดชีวิตก็ยังไม่หมด

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Thailand 4.0



Thailand 4.0

ถึงคราวเปิดใจให้ Thailand 4.0
ทุกคนที่รับรู้ถึงวิกฤตในครั้งนี้ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ Thailand 4.0 หวังว่ามันจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักทั้งหลายที่เคยเจอมาตลอดได้ ซึ่ง Thailand 4.0 นี้เป็นการ ‘ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม’ นั่นเอง เปลี่ยนจากที่แต่ก่อนเราลงมือทำมาก แต่ได้ผลตอบแทนน้อย มาเป็น ลงมือทำน้อย ๆ แต่ได้ผลตอบแทนมหาศาล โดยการเอาความคิดสร้างสรรค์เป็นแรงผลักดัน และนำนวัตกรรมเข้ามาช่วย เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าไปสู่การบริการมากขึ้น

ตัว Thailand 4.0 นี้จะเป็นการพูดถึง New S-Curve หรือก็คือ การพัฒนาเปลี่ยนแปลงใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งก็คล้าย ๆ กับการ Disruptive ที่เข้ามาพัฒนาสินค้าที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น และล้มล้างพฤติกรรมแบบเดิม ๆ เหมือนอย่างเช่น ฟิล์ม Kodak ที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในสมัยก่อน ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายแล้วบริษัทยักษ์ใหญ่รายนี้จะถูกคลื่นลูกใหม่อย่างเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาแทนที่ ต้องล้มหายไปจากความทรงจำของเด็กรุ่นใหม่ ทำให้ยุคสมัยนี้คนอาจจะไม่รู้จักกับ Kodak แต่รู้จักกับกล้องดิจิทัลแบรนด์ดัง ๆ อย่างอื่นแทน
ส่วนที่ยากของ New S-Curve คือเราจะเคลื่อนย้ายไปเทคโนโลยีใหม่เมื่อไหร่ อย่างแรกต้องดูว่าเราจะไปปักหลักกับเทคโนโลยีไหนดี ต่อมาคือเราจะเปลี่ยนแปลงมันไปยังไง และสุดท้าย เมื่อไหร่ถึงควรจะปรับตัวไปยังเทคโนโลยีนั้น
การเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาพร้อม Thailand 4.0
วิธีการถือเป็นเรื่องสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งสำหรับ Thailand 4.0 แล้ว การเปลี่ยนแปลงย่อมมีให้เห็น และแน่นอนว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมด้วย ซึ่งเมื่อมองภาพว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการทำเกษตรกรรมอยู่เยอะ การเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้จึงเกิดขึ้น โดยเปลี่ยนจากการทำเกษตรแบบธรรมดา ให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ หรือ Smart Farming สิ่งสำคัญคือจะทำยังไงให้เกิดความสมดุลในการผลิต ให้ความต้องการซื้อและขายมันพอดีกัน ต้องช่วยกันคิดว่าสิ่งที่เราเหลือสามารถนำไปแปรรูปเปลี่ยนเป็นอะไรที่มีคนต้องการได้บ้าง
อีกทั้งตัวผู้ประกอบการเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นกัน จาก SME ที่ต้องรอคอยการช่วยเหลือจากรัฐอยู่ตลอดเวลา เป็น Smart Enterprises และ Startup หรือบริษัทเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง อย่างที่ได้ยินข่าวกันอยู่ในทุกวันนี้ โดยการนำเอานวัตกรรมเข้ามาช่วย เพิ่มจุดแข็งและคุณค่าให้ธุรกิจ
รวมไปถึงสมัยก่อนเราอาจจะขาดแคลนคุณภาพของแรงงาน มีแต่แรงงานทักษะต่ำ ไม่มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ ก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยน สร้างพื้นฐานความรู้ ความเชี่ยวชาญ ให้แก่แรงงานของเรา
และการเปลี่ยนแปลงสุดท้ายคือ การบริการ อาจต้องเปลี่ยนแปลง จากที่เคยแค่บอกต่อกันไปปากต่อปาก มีคนกดไลก์เยอะ ก็คิดว่าบริการนั้นดีมากแล้ว อาจต้องมีการนำเรื่องของมาตรฐานเข้ามา เพื่อให้กลายเป็น High Value Services ต้องมีการรับรอง มีการตรวจสอบเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ เช่น บริการนวด ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพบริการที่มีมากในประเทศไทย อาจต้องมีการตรวจสอบและผ่านการรับรองเพื่อแลกกับคุณภาพที่ได้มาตรฐาน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไทยแลนด์ 4.0 หมายถึง

จะเข้าสู่ยุค 4.0 ทั้งที SME ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม
ในขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามกันอย่างมากที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้เป็นไปตามกลไกที่เหมาะสมเข้ากับยุคสมัย หน้าที่ของพวกเราทุกคนในฐานะ SME ผู้ประกอบการ หรือประชาชนคนไทย ก็สามารถเตรียมตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ โดยอันดับแรกเลยคือเรื่องของเทคโนโลยีที่ควรใช้ให้เป็น เพราะในโลกปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมันยังช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ต้องหมั่นดูอยู่เสมอว่ามีอะไรที่ตรงกับเราบ้าง เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปได้ไวยิ่งขึ้น เรื่องของการไปเยี่ยมชมงานที่ต่างประเทศก็เช่นกัน เพราะลูกค้าในอนาคตอาจมาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก การติดต่อ มารยาท ธรรมเนียมการปฏิบัติจึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าบริษัทไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ ส่งอีเมลมาก็ไม่สามารถตอบกลับได้ ก็ทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจไปได้อย่างน่าเสียดาย และสุดท้ายเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะคนในสมัยนี้ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หากมีสินค้าที่คุณสมบัติเหมือนกัน ราคาใกล้เคียงกัน สินค้าที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะสามารถจับใจลูกค้าได้มากกว่า
บทสรุปสุดท้าย อยู่ที่ความร่วมมือกันของคนในชาติไทย
Thailand 4.0 นับเป็นโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคนี้ที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมไปด้วยกัน ช่วยกันผลักดันไปพร้อม ๆ กัน สิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้โมเดลนี้ประสบความสำเร็จก็คือ ต้องคิดให้มาก คิดให้จบ อ่านให้ขาด ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง อย่ามัวแต่โทษกันเมื่อมีอะไรผิดพลาด เพราะทุกอย่างเปรียบเสมือนการเรียนรู้ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับเราย่ำอยู่กับที่ ซึ่งด้วยกับโมเดล Thailand 4.0 นี้บวกกับพลังของคนในชาติ การเปลี่ยนแปลงจาก ‘ประเทศกำลังพัฒนา’ ไปสู่ ‘ประเทศพัฒนาแล้ว’ คงไม่ใช่แค่เรื่องในความฝันอีกต่อไป

Thailand 3.0

Thailand 3.0
Thailand 3.0 ซึ่งเป็นยุคของอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก มีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น เน้นเรื่องชิ้นส่วนยานยนต์ แผงวงจรไฟฟ้าที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น และเรื่องของการลงทุน มีการขยับไปลงทุนในต่างประเทศ

แล้วตอนนี้ไม่ดียังไง ทำไมต้องปรับตัวเพราะ Thailand 3.0 ที่เราเป็นกันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้มันทำให้รายได้ประเทศอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น เราไม่สามารถขยับหนีไปจากจุดนี้ได้สักที เมื่อ 50 ปีก่อน ช่วง พ.ศ.2500-2536 เศรษฐกิจของไทยเรามีการเติบโตอย่างมากถึงระดับ 7-8% ต่อปี แต่หลังจาก พ.ศ.2537 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นเพียง 3-4% ต่อปีเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องของ ‘ความเหลื่อมล้ำด้านความร่ำรวย’ อีกต่างหาก และสุดท้ายก็เรื่องของ ‘ความไม่สมดุลในการพัฒนา’ ซึ่งเรื่องพวกนี้นี่แหละครับที่ทำให้รัฐบาลต้องหันมาใส่ใจ เร่งพัฒนาปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจกันยกใหญ่ เพื่อให้เราก้าวข้ามจาก Thailand 3.0 ไปสู่ Thailand 4.0 ให้ได้ใน 3-5 ปีนี้


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไทยแลนด์ 3.0 หมายถึง

Thailand 2.0



Thailand 2.0

Thailand 2.0 ซึ่งก็คือยุคอุตสาหกรรมเบา
 ในยุคนี้เรามีเครื่องมือเข้ามาช่วย เราผลิตเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องดื่ม เครื่องเขียน เครื่องประดับเป็นต้น ประเทศเริ่มมีศักยภาพมากขึ้น
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไทยแลนด์ 2.0 หมายถึง

Thailand 1.0

Thailand 1.0
ก่อนอื่นเลยต้องอธิบายก่อนว่า Thailand 1.0 – 4.0 ต่าง ๆ มันคืออะไร ซึ่งมันก็คือโมเดลในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย แต่แตกต่างกันที่กลุ่มการลงทุนหลักของประเทศในขณะนั้น พูดง่าย ๆ คือ ในแต่ละยุคสมัยรัฐก็จะให้ความสนใจและส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน ลองกลับไปย้อนอดีตกันสักหน่อยดีกว่า

Thailand 1.0 ก็คือยุคของเกษตรกรรม คนไทยปลูกข้าว พืชสวน พืชไร่ เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ นำผลผลิตไปขาย สร้างรายได้และยังชีพ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไทยแลนด์ 1.0 หมายถึง

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ราชกิจจานุเบกษา พรบ.คอมพิวเตอร์

วันที่ 25 มกราคมราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560 บังคับใช้หลังพ้นหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันประกาศ แก้ไขเพิ่มเติมอัตราโทษปรับหรือจำคุก ฐานส่งข้อมูลก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่ผู้รับ หรือนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ บิดเบือน ลามก ตัดต่อภาพผู้อื่นให้เสียชื่อเสียง อับอาย รวมถึงมาตรการบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิด


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ราชกิจจานุเบกษา พรบ.คอมพิวเตอร์

สถานที่ท่องเที่ยว

ตลาดน้ำยอดฮิต!! ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม ตลาดริมคลองอัมพวาแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้วัดอัมพวันเจติยาราม (จอดรถที่วัดอัมพวันเจติยารามได้) ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ในช่วงเวลาเย็นตั้งแต่ช่วงเวลา 12.00 น. – 20.00 น. ในคลองอัมพวาจะมีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายอาหารและเครื่องดื่ม เช่น หอยทอด ก๋วยเตี๋ยว อาหารทะเล กาแฟ โอเลี้ยง ขนมหวานต่าง ๆ และมีรถเข็นขายของบนบกด้วย บรรยากาศสบาย ๆ มีดนตรีเพื่อความเพลิดเพลินจากเสียงตามสายของชุมชนอัมพวา ท่านสามารถเดินเที่ยวชมตลาดหาซื้ออาหารรับประทาน และลงเรือไปชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืนได้ ค่าบริการท่านละ 60-80 บาท
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 7.9 km หรือ 14 นาที

ชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน : Firefly watching at night ล่องเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน (Firefly watching at night)

กิจกรรมยอดนิยม! ทิ้งถ่วง หรือ หิ่งห้อย เป็นชื่อเรียกแมลงปีกแข็ง ทั่วทั้งโลกมีทิ้งถ่วงประมาณ 2,000 ชนิด นับว่าเป็นแมลงที่มีคุณลักษณะพิเศษ คือสามารถบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์และสมดุลของธรรมชาติได้ อีกทั้งยังมีมีแสงเรือง ๆ ที่ก้น ด้วยเหตุนี้นักท่องเที่ยวที่มายังจังหวัดสมุทรสงคราม จึงนิยมล่องเรือไปตามแหล่งธรรมชาติริมน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ เช่น ต้นลำพูที่อยู่ตามริมแม่น้ำ เพื่อดูแสงไฟของเจ้าแมลงหิ่งห้อยเหล่านี้ นับว่าเป็นกิจกรรมที่พลาดไม่ได้จริง ๆ ท่านสามารถไปล่องเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืนได้ โดยขึ้นเรือจากท่าเรือที่ตลาดน้ำอัมพวา ค่าบริการท่านละ 60-80 บาท หรือหากมาเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อเช่าเรือเหมาลำจากทางรีสอร์ทได้ โดยจะขึ้นเรือจากท่าน้ำหน้ารีสอร์ทกันเลย
รายละเอียดแพ็คเกจล่องเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน คลิกที่นี่

วัดอัมพวันเจติยาราม : Wat Amphawan Chetiyaram Temple วัดอัมพวันเจติยาราม (Wat Amphawan Chetiyaram Temple)

วัดของตระกูลราชินิกุลบางช้าง อยู่ใกล้กันกับอุทยาน ร.๒ และตลาดน้ำอัมพวา สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 หลังวัดแห่งนี้เคยเป็นนิวาสสถานเก่าของหลวงยกกระบัตร (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) และ คุณนาค (สมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 1) และเป็นสถานที่พระราชสมภพของรัชกาลที่ 2 เชื่อกันว่าบริเวณพระปรางค์ของวัดอัมพวันเจติยาราม เดิมเป็นเรือนที่คุณนาคใช้เป็นที่คลอดคุณฉิมบุตรชาย ซึ่งต่อมาได้เป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 8.6 km หรือ 15 นาที


อุทยาน รัชกาลที่ 2 (สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) : King Rama II Memorial Park อุทยาน รัชกาลที่ 2 (King Rama II Memorial Park)

พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อยู่ติดกับวัดอัมพวันฯ และตลาดน้ำอัมพวา ลักษณะเป็นอาคารทรงไทยหลัง แบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น หอกลาง ภายในประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 2 และจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เช่น เครื่องเบญจรงค์ เครื่องถ้วย หัวโขน ห้องชาย จัดแสดงให้เห็นลักษณะความเป็นอยู่ของชายไทยที่มีความกล้าหาญ มีพระพุทธรูปสำหรับบูชา รวมทั้งแท่นพระบรรทมซึ่งเชื่อว่าเป็นของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ห้องหญิง แสดงให้เห็นลักษณะความเป็นอยู่ของหญิงไทยโบราณ โต๊ะเครื่องแป้ง คันฉ่อง ชานเรือน จัดแสดงตามแบบบ้านไทยโบราณ ตกแต่งด้วยกระถางไม้ดัด ไม้ประดับ ห้องครัวและห้องน้ำ จัดแสดงลักษณะครัวไทยมีเครื่องหุงต้ม ถ้วยชามและห้องน้ำของชนชั้นกลาง
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 8.7 km หรือ 15 นาที

ค่ายบางกุ้ง : Bang Kung Camp ค่ายบางกุ้ง (Bang Kung Camp)

ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลบางกุ้ง อำเภอบางคนที เมื่อมาถึงบริเวณค่ายจะมองเห็นแนวกำแพงจำลองสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์จากการ สู้รบ ค่ายแห่งนี้เป็นค่ายทหารเรือไทยที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หลังจากเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้โปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายที่ตำบลบางกุ้ง เรียกว่า ค่ายบางกุ้ง เนื่องจากเมืองแม่กลองเป็นเส้นทางที่กองทัพพม่าใช้ในการเดินทัพ โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและ เป็นที่เคารพบูชาของทหาร พระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดให้คนจีนจากระยอง ชลบุรี ราชบุรีและกาญจนบุรีรวบรวมผู้คนมาตั้งเป็นกองทหารรักษาค่าย ค่ายนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนี่งว่า “ค่ายจีนบางกุ้ง” พระองค์ทรงให้ชื่อทหารเหล่านี้ว่า “ทหารภักดีอาสา” ในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรี มาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง พระเจ้าตากสินมหาราชและพระมหามนตรี (บุญมา) ร่วมรบขับไล่กองทัพพม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย นับเป็นค่ายทหารไทยที่สร้างความเกรงขามให้กองทัพพม่า สร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยกลับคืนมา และเป็นสงครามครั้งแรกที่ไทยทำกับพม่าหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ค่ายบางกุ้งแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 200 ปี จนมาถึงปี พ.ศ. 2510 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระเจ้าตากสินมหาราช และได้สร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์ โดยทำพิธียกศาลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 ภายในบริเวณค่ายยังมีโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ชาวบ้านเรียกว่า “โบสถ์หลวงพ่อดำ” มีลักษณะพิเศษคือ โบสถ์ทั้งหลังปกคลุมด้วยด้วยต้นไม้ถึงสี่ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร ต้นกร่าง ชาวบ้านเรียกว่าโบสถ์ปรกโพธิ์และไม่ไกลนักเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์สมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 12 km หรือ 24 นาที

อาสนวิหารแม่พระบังเกิด : The Church of the Virgin Mary อาสนวิหารแม่พระบังเกิด (The Church of the Virgin Mary)

โบสถ์นี้เป็นสถานที่สักการะอันศักดิ์สิทธิ์ของคริสต ชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) โดยบาทหลวงเปาโลซัลมอน มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ได้รับทุนสนับสนุนจากญาติพี่น้องของท่านในประเทศฝรั่งเศส คณะมิซซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส กรุงโรมและผู้ใจบุญในกรุงเทพฯ ใช้เวลาสร้างถึง 6 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคของประเทศฝรั่งเศส ฉาบด้วยปูนตำ ภายในประดับด้วยภาพกระจกสีสวยงดงาม มีรูปปั้น ธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป ขาเทียนลักษณะต่างๆ และรูปแกะสลักบรรยายเกร็ดประวัติในพระคัมภีร์คริสตศาสนา นับเป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามไม่ไกลจากริมฝั่งแม่น้ำ การเข้าชมควรติดต่อขออนุญาตจากบาทหลวงผู้รับผิดชอบก่อนล่วงหน้า เพื่อติดต่อวิทยากรบรรยาย โทร. 0 3476 1347
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 19 km หรือ 28 นาที


ดอนหอยหลอด : Don Hoi Lot ดอนหอยหลอด (Don Hoi Lot)

สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด สมุทรสงคราม เป็นสันดอนตั้งอยู่ปากแม่น้ำแม่กลอง เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทราย หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ทรายขี้เป็ด” ดอนหอยหลอดมีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 2 แห่ง แห่งแรก ได้แก่ ดอนนอก อยู่บริเวณปากอ่าวแม่กลอง เดินทางไปได้โดยทางเรือ ดอนใน อยู่ที่ชายหาดหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็ง และอีกแห่งคือ ชายหาดหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว สามารถเดินทางไปได้โดยทางรถยนต์ บริเวณสันดอนมีหอยอาศัยอยู่หลายชนิด ได้แก่ หอยหลอด หอยลาย หอยปุก หอยปากเป็ด หอยแครง แต่พบว่าหอยหลอดเป็นหอยที่มีจำนวนมากที่สุด จึงเป็นจุดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้หอยหลอดเป็นหอยชนิด 2 ฝา ตัวสีขาวขุ่น มีเปลือกคล้ายหลอดกาแฟ ฝังตัวอยู่ในเลน การจับหอยหลอด จะจับในช่วงน้ำลง โดยใช้ไม้เล็ก ๆ ขนาดก้านธูป จุ่มปูนขาว แล้วแทงลงไปในรูหอยหลอด หอยจะเมาปูนแล้วโผล่ขึ้นมาให้จับ ไม่ควรสาดปูนขาวลงบนสันดอน เพราะจะทำให้หอยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นตายหมด ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะท่องเที่ยวดอนหอยหลอด คือ ประมาณเดือนมีนาคม – พฤษภาคม เพราะน้ำทะเลจะลดลงนานกว่าช่วงเวลาอื่น และสามารถมองเห็นสันดอนโผล่ขึ้นมา
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 7 km หรือ 14 นาที

ตลาดน้ำท่าคา : Thaka Floating Market ตลาดน้ำท่าคา (Thaka Floating Market)

ตลาดช่วงเช้า ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าคา อำเภออัมพวา เป็นตลาดนัดทางน้ำที่ยังคงความเป็นธรรมชาติของวิถีชีวิตชาวบ้าน ซึ่งมีอาชีพทำสวนปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ชาวบ้านจะพายเรือนำผลผลิต พืชผักและผลไม้จากสวน เช่น พริก หอม กระเทียม น้ำตาลมะพร้าว ฝรั่ง มะพร้าว ชมพู่ ส้มโอมาขาย-แลกเปลี่ยนกัน เฉพาะในวันขึ้นหรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ (ทุก ๆ 5 วัน) ตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00 – 11.00 น.
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 17.8 km หรือ 26 นาที


ตลาดร่มหุบ : Railway Fresh Market ตลาดร่มหุบ ตลาดริมทางรถไฟ (Railway Fresh Market)

ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟแม่กลอง อำเภอเมือง ตลาดหุบร่มหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ตลาดเสี่ยงตาย หรือตลาดริมทางรถไฟ ตั้งขายอยู่ริมทางรถไฟใกล้สถานีรถไฟแม่กลอง ความยาวของตลาดประมาณ 100 เมตร บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะวางขายสินค้าบนพื้นจนติดกับรางรถไฟ เวลารถไฟมาก็ต่างหุบร่มที่กางและเก็บสินค้าภายในพริบตา จนเป็นที่มาของชื่อตลาดหุบร่มนั่นเอง สินค้าที่วางขายที่ตลาดแห่งนี้จะเป็นพวกผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาหารทะเลสด ๆ ขายกันในราคาไม่แพง จึงเป็นตลาดยอดนิยมของชาวบ้านบริเวณนั้นเพราะราคาถูกและคุณภาพดี ตลาดแห่งนี้เปิดขายทุกวันเวลา 6.00-18.00 น. เวลารถไฟวิ่งผ่านตลาดหุบร่ม วันละ 8 รอบ (โดยประมาณ) ดังนี้ 06.20, 08.30, 09.00, 11.10, 11.30, 14.30, 15.30 และ 17.40 น.
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 1.6 km หรือ 4 นาที



แฝดสยาม อิน-จัน : Siamese Twin แฝดสยาม อิน-จัน (Siamese Twin)

สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ฝาแฝดสยามอิน-จันที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปทั่วโลก ภายในบริเวณเป็นลานกว้างประดับด้วยต้นไม้ดอกไม้ อนุสรณ์แฝดสยามอิน-จันตั้งอยู่กลางลาน ด้านหน้ามีสระน้ำขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารโถงจัดแสดงชีวประวัติของแฝดสยามอิน-จัน “แฝดสยามอิน-จัน” เกิดที่จังหวัดสมุทรสงครามเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 (ค.ศ. 1811) ประมาณปี พ.ศ. 2371-2372 (ค.ศ. 1828-1829) กัปตันคอฟฟินและฮันเตอร์เดินทางมาติดต่อการค้าที่แม่กลอง พบฝาแฝดคู่นี้จึงขอนำกลับไปอเมริกาและอังกฤษ เพื่อเปิดการแสดงในที่ต่างๆ เรื่องราวชีวิตของแฝดสยามอิน-จัน ฝาแฝดที่มีร่างกายท่อนบนติดกันและสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติยาวนานจน ถึงอายุ 63 ปี ได้รับการกล่าวขานทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในชื่อ “Siamese Twin”
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 5 km หรือ 13 นาที


วัดเพชรสมุทรวรวิหาร : Wat Phet Samut Worawiharn Temple วัดเพชรสมุทรวรวิหาร หลวงพ่อบ้านแหลม (Wat Phet Samut Worawiharn Temple)

หลวงพ่อบ้านแหลม ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อวัดบ้านแหลมเป็น พระพุทธรูปสำคัญองค์ หนึ่งของไทย ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ศูนย์รวมศรัทธาและที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวแม่กลองแห่ง สมุทรสงครามเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เคารพสักการะอย่างกว้างขวางของชาวไทยทุกสารทิศมานานนับสมัยจน ถึงกับมีคำกล่าวว่า หากไม่ได้มานมัสการหลวงพ่อวัดบ้านแหลมก็เสมือนมาไม่ถึงเมืองสมุทรสงคราม เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะปิดทองหลวงพ่อบ้านแหลม แล้วจะช่วยเสริมอำนาจบารมีแก่ชีวิต บังเกิดแต่ความเป็นสิริมงคลสืบไป หากใครอธิษฐานของพรหลวงพ่อไว้ในเรื่องใดก็มักจะได้สมความปรารถนาและมักจะ กลับมาแก้บนหลวงพ่อด้วยละครรำ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่ท่านโปรดปราน
เดินทางจากรีสอร์ทเพียง 1.8 km หรือ 5 นาที


บ้านครูเอื้อ…อัมพวา : Baan Kroo Uea Amphawa บ้านครูเอื้อ อัมพวา (Baan Kroo Uea Amphawa)

ก่อตั้งโดยมูลนิธิสุนทราภรณ์ โดยการนำอาคารไม้โบราณ ริมคลองอัมพวา อันเป็นถิ่นกำเนิดของครูเอื้อ สุนทรสนาน เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการประวัติผลงานของครูเอื้อ ศูนย์รวมข้อมูลสำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจค้นคว้าเรื่องราวของเพลงสุนทราภรณ์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เปิดให้แฟนเพลงเข้าไปนั่งฟังเพลง ค้นคว้า อ่านหนังสือ นอกจากนี้ยังแสดงของใช้ส่วนตัวของครูเอื้อ และภาพเก่า ๆ ที่หาชมได้ยาก รวมทั้งจำหน่ายของที่ระลึกและผลงานเพลงของครูเอื้อ สุนทรสนาน สถานที่แห่งนี้ยังนับเป็นส่วนหนึ่งใน “โครงการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวอัมพวา” ของมูลนิธิชัยพัฒนา ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ อีกด้วย